ช็อปปิ้งที่สวนดอกไม้อาชิคางะและเอาท์เล็ต 2 วัน

วัดเก่าแก่ที่มีต้นกำเนิดต้องย้อนกลับไปยังศตวรรษที่ 12 อาคารแห่งนี้ถือเป็นสมบัติประจำชาติที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบเซน ช่วงฤดูใบไม้ผลิมีซากุระ ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงก็เต็มไปด้วยใบไม้สีเหลืองของอนุสรณ์สถานธรรมชาติอย่างต้นแปะก๊วยขนาดใหญ่อายุประมาณ 600 ปี ความงดงามนี้ถือเป็นไฮไลท์ และในวันสิ้นสุดของฤดูหนาว ที่วัดยังมีการจัดงาน "เซะสึบุุนโยะโระอิโทะชิโคะชิ" ซึ่งเป็นงานเทศกาลปาถั่วโดยนักรบภายใต้ชุดเกราะที่หาดูได้ยาก

ศาลเจ้าอะชิคะกะโอะริฮิเมะ ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนเป็นมรดกด้านวัฒนธรรมที่จับต้องได้ของประเทศในเดือนมิถุนายน ปีค.ศ. 2004 เป็นศาลเจ้าที่สักการะและบูชาเทพเจ้าสององค์ ได้แก่ “อะเมะโนะยะชิชิฮิเมะโนะมิโกะโตะ” และ “อะเมะโนะมิโฮะโกะโนะมิโกะโตะ” ซึ่งเป็นเทพที่กำกับดูแลเครื่องทอผ้าและถือเป็นเทพเจ้าที่คุ้มครองอุตสาหกรรมของเมืองอะชิคะกะ
ศาลเจ้าอะชิคะกะโอะริฮิเมะมีตัวอาคารศาลเจ้าที่ทาด้วยสีแดงสดใสตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้เขียวชอุ่ม บูชาเทพเจ้าผู้ส่งเสริมอุตสาหกรรม และเทพเจ้าแห่งการผูกชะตา ภายในอาณาบริเวณของศาลเจ้าตั้งอยู่บริเวณท้องภูเขา ซึ่งสามารถมองเห็นเมืองอะชิคะกะและแม่น้ำวะตะระเสะกะวะได้ ในวันที่อากาศดียังสามารถมองเห็นไปจนถึงที่ราบภูมิภาคคันโตและหอคอยโตเกียวสกายทรีได้อีกด้วย อีกทั้งที่นี่ยังเป็นจุดเริ่มออกเดินทางของเส้นทางเดินอุทยานธรรมชาติประจำจังหวัด ให้ทั้งมือใหม่และผู้ที่มาทั้งครอบครัวสามารถเดินได้อย่างเพลิดเพลิน  กลายเป็นเส้นทางยอดนิยมเนื่องจากสามารถชื่นชมความงามของทัศนียภาพสี่ฤดูที่มีทิวทัศน์ตระการตา
ในเดือนพฤษภาคม มีเทศกาลฤดูใบไม้ผลิต ในเดือนพฤศจิกายนมีเทศกาลฤดูใบไม้ร่วง และยังสามารถชมการแสดงขลุ่ยโอคาริน่าและเครื่องดนตรีต่างๆ ได้ เนื่องจากมีร้านอาหารทานเล่นของท้องถิ่นออกร้านจึงคึกคักไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
ในปีค.ศ. 2014 ที่นี่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคู่รักและเป็นมรดกทางทัศนียภาพของญี่ปุ่น จึงได้รับความนิยมในฐานะที่เป็นสถานที่สำหรับการออกเดทด้วยเช่นกัน

สวนที่มีการแสดงพรรณไม้ที่ให้ความรู้สึกอย่างเต็มเปี่ยมของแต่ละฤดูกาลโดยภายในสวนจะมีพรรณไม้แต่ละฤดู โดยในช่วงปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคมแผงต้นวิสเทอเรียที่กำลังบานสะพรั่งนั้นมีความโดดเด่นที่สุด โดยมีต้นวิสเทอเรียต้นใหญ่ 4 ต้นและ อุโมงค์วิสเทอเรียขาวที่มีความยาวกว่า 80 เมตรเป็นอนุสาวรีย์ทางธรรมชาติของจังหวัดโทชิงิซึ่งได้รับการบันทึกไว้เป็นการยืนยันความงดงาม โดยในตอนกลางคืนจะมีการเปิดไฟเพื่อเป็นการสร้างบรรยากาศเหมือนฝัน ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงจนถึงฤดูหนาว “ฮิคาริโนะฮานะโนะนิวะ (สวนดอกไม้แสง)” ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนี่งในสามสถานที่แสดงแสงไฟที่ใหญ่ที่สุดในคันโต ซึ่งจะเนืองแน่นไปด้วยผู้ที่พาครอบครัวและคู่รักไปเยี่ยมชม
โดยในหนึ่งปีมีนักท่องเที่ยวจากภายในและภายนอกเมืองเข้าเยี่ยมชมกว่า 1 ล้านคนต่อปี
☆

เอ้าท์เลทที่รวบรวมแบรนด์ที่มีชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า 180 ร้าน ซึ่งคุณสามารถเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหารและช้อปปิ้งในบรรยากาศที่เปิดกว้าง ซึ่งสะดวกสบายโดยมีรถบัสจากสถานีที่ใกล้ที่สุดอย่างสถานีนาสุชิโอบาระและรถบัสโดยตรงจากโตเกียว โดยในช่วงฤดูหนาวจะมีการตกแต่งไฟภายในสถานที่ ที่ให้บรรยากาศเหมือนกับการส่องประกายอันเงางามของอัญมณีที่ถูกฝังอยู่

เมืองซาโนะที่อยู่ทางตอนใต้ของโทะชิงิเป็นศูนย์กลางหนึ่งในราเมงในท้องถิ่นที่คุณจะต้องทานให้ได้ โดยได้รับการเลือกให้เป็นร้อยแห่งที่มีชื่อเสียงด้านน้ำจากการใช้น้ำคุณภาพดีและแป้งข้าวสาลีที่เหมาะสมที่ใช้ในการทำเส้นราเมง ซึ่งไม้ไผ่เขียวที่ใช้ตีเส้นนั้นมีฟองอากาศอยู่มากทำให้การนำความร้อนเป็นไปได้ดี ใช้เวลาสั้นในการลวก สามารถลิ้มรสความเหนียวนุ่มของเส้นจากสัมผัสของลิ้นได้ และรสชาติของน้ำซุปซอสถั่วเหลืองที่โดดเด่นในความคงที่ของความอร่อยทำให้กินทุกวันก็ไม่เบื่อ ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ใหญ่หรือชายหญิงต่างก็ชื่นชอบกันทั้งนั้น

เมืองแห่งการค้าที่มีการพัฒนาทางการค้ามาจากเมืองที่พักธรรมดามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยใช้การขนส่งผ่านทางแม่น้ำอุซึมะที่ไหลผ่านใจกลางของเมืองเชื่อมการติดต่อซื้อขายกับเมืองเอโดะ (ชื่อเรียกเก่าของโตเกียว) โดยถนนโซโนะมาชิที่อยู่ริมแม่น้ำอุซึมะและผ่านใจกลางเมืองนั้น ยังคงหลงเหลือโกดังเก็บสินค้าที่มีการทาสีดำและกำแพงสีขาวอยู่ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินนึกย้อนเวลาไปถึงความเจริญรุ่งเรืองในเวลานั้น

ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างโดยท่านฟูจิวาระ โนะ ฮิเดซาโตะในปีเทนเคียวที่ 3 (ปี 940 ) และ อาคามิโคชิ ที่บริจาคโดยท่านโทคุกาวะ อิเอยาสุ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ในห้องโถงของศาลเจ้า เทศกาลแห่ศาลเจ้ากิออนจะถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนกรกฎาคม มีการแห่ศาลเจ้าเล็กที่ใช้คนหามที่มีขนาดใหญ่หนักถึง 2 ตัน และศาลเจ้าเล็กที่ใช้คนหามอีก 25หลัง ทิวแถวของต้นไม้ที่ทางเดินจากประตูโอโทริอิและศาลเจ้าหลักทำให้อบอวนไปด้วยบรรยากาศที่สงบเย็นจึงทำให้ศาลเจ้าเต็มไปด้วยบรรยากาศที่เคร่งขรึม
อาคามิโคชิ ของศาลเจ้าสุงะ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1658 โดยช่างฝีมือที่สร้างศาลเจ้านิกโกโทโชกูให้มีขนาดเท่ากับศาลเจ้าเดียวกัน และถือเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของจังหวัดโทชิงิ

เพื่อให้ทราบถึงความใส่สบายของ “ผ้าไหมฮอมบะยูกิซึมุงิ” ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแบบจับต้องไม่ได้ของยูเนสโก ที่นี่จึงมีการจัด “การสัมผัสประสบการณ์สวมชุดกิโมโน” ให้ท่านสวมฟรีทั้งชุดกิโมโนและโอบิ ถ้าคืนภายใน 18:00น. ท่านสามารถสนุกสนานกับการเดินเล่นรอบเมืองโอะยะมะในชุดกิโมโนได้ ขอเชิญมาลองสัมผัสเนื้อผ้าที่อุ่นและเบาของผ้าไหมฮอมบะยูกิซึมุงิกันเถอะ!